เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ ก.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันพระมันมาครึ่งเดือนแล้วเนาะ วันพระ วันธรรมสวนะ วันฟังธรรม ธรรมะเวลาเกิด เห็นไหม พ่อแม่เป็นแดนเกิด เวลาเกิดพ่อแม่เป็นแดนเกิด เกิดจากพ่อจากแม่ แต่ถ้าพูดถึงศาสนานี่กรรมเป็นแดนเกิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เพราะการทำกรรมนั้นไว้ กรรมทำคุณงามความดี เห็นไหม กรรมดีพามาเกิด คนเกิดในสถานะที่ร่ำรวย เกิดในสถานะที่มีความสุข บางคนไปเกิดๆ ในสถานะที่ยากจน ทุกข์ยากมาก กรรมเป็นแดนเกิด ในการทำกรรมมานั้นคือการกระทำของเรามาแต่อดีต

แต่ในธรรมปัจจุบัน เห็นไหม เราต้องทำคุณงามความดี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นสัจธรรม บางทีคนถึงได้พูดไง พูดของเขาถูกของเขานะ ว่าไม่ถือศาสนาอะไรก็ได้ ทำคุณงามความดี เราทำคุณงามความดีก็เป็นความดีแล้ว ไม่ต้องนับถือศาสนาไหนมันก็เป็นความดี อันนั้นเป็นความเห็นของเขา ความดีเป็นความดีส่วนหนึ่ง แต่ความดีที่สุดของศาสนามันลึกซึ้งกว่านั้นอีก เพราะไม่มีใครสามารถรู้ได้ ไม่มีใครสามารถรู้จากภายในได้ เพราะว่ามันเป็นความคิด มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง

ธรรมชาติอันนี้มันส่งออกไป ความคิดมันส่งออกไป มันจะไม่กลับมาจับ จนต้องใช้ประสบการณ์ เห็นไหม ประสบการณ์นี่มันมีความทุกข์ความยาก ความผิดพลาดออกไปนี่ อ๋อ..อ๋อเลยนะ ถ้าอ๋อขึ้นมาอันนี้ผิดพลาด แล้วความผิดพลาดของเรามันผิดพลาดแล้วเราก็เคยมีอารมณ์เคยมีความขุ่นมัวในหัวใจ สิ่งนี้มันส่งออกไป เห็นไหม นี่สิ่งที่มันส่งออกมาเราไม่เห็นสิ่งนี้ เราทำความสงบของเราเข้ามามันถึงมีความต่อต้านไง ใจมันต่อต้าน ต่อต้านความเห็นของเรา รู้ว่าเป็นความดีนั่นน่ะ แต่ความดีอย่างนี้คำว่าพุทโธๆ มันเป็นอาหารของใจ

เรานึกถึงพุทธานุสติ นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตเหนี่ยวรั้งสิ่งนี้ไว้ ให้สิ่งนี้มีที่พึ่งอาศัยเข้ามาจากภายใน ให้ย้อนกลับเข้ามา ย้อนกลับทวนกระแสสิ่งที่มันขับไสออกไป ความคิดของกิเลสมันเป็นความคิดส่งออก ส่งออกไปแล้วมันทำให้เราต้องมีความเร่าร้อนในหัวใจ สิ่งที่เร่าร้อนในหัวใจมันเป็นความเร่าร้อนจากภายใน สิ่งที่เป็นภายในมันถึงว่าเรื่องของใจเป็นเรื่องของการรับรู้สิ่งต่างๆ รับรู้สิ่งต่างๆ

เรื่องร่างกายนี้มันเป็นความเจริญเติบโตของร่างกาย มันต้องมีสิ่งที่อาศัย เห็นไหม มีใจอาศัยสิ่งนี้ มันก็ทำให้ดำรงชีวิตไป ถ้าใจมันหลุดออกไปจากใจ เห็นไหม พลัดพรากออกไป ออกไปจากใจ คนเราก็ถึงคำว่าตาย ถ้าตายไปแล้วจิตนี้ก็ไปเกิดใหม่ จิตนี้ความรู้สึกอันนี้มันไม่มีที่สิ้นสุด มันต้องไปเกิดใหม่เพราะธรรมชาติมันเป็นธาตุรู้อันหนึ่ง มันจะหมุนไปตามประสาของมัน นี่กระแสของกรรม เห็นไหม มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย สิ่งที่พึ่งอาศัย สิ่งอาศัยดีคนเราเกิดมามีหมู่คณะ มีที่พึ่งอาศัย มันก็มีพึ่งอาศัยได้ พระปัจเจกพุทธเจ้า เห็นไหม เป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกันแต่อยู่องค์เดียว สอนใครนี่ไม่มีภาษาไง ไม่มีบัญญัติ บัญญัติสอนคนไม่ได้ ไม่เข้าใจ พระปัจเจกฯ ถึงไม่ได้สอนใคร แต่ก็สอนได้บ้าง สอนคือความรู้สึก แต่ไม่สามารถวางศาสนาได้

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่ว่ามีอำนาจวาสนาบารมี กรรมดีเพราะสร้างสมไว้ ทำทานไว้มาก สละไว้ทั้งหมด เห็นไหม ชาติสุดท้ายสละทั้งลูกทั้งเมีย สละทั้งหมด สละสิ่งนี้สละเพื่อโพธิญาณ เห็นไหม มันสละนี่มันความรัก คนเรามีความรักมีความผูกพันมาก แล้วสละออกไป สละออกไปนะ ลูกเล็กๆ ออกไปนี่ชูชกจะทำอย่างไรมันมีความสะเทือนใจมาก สิ่งที่สะเทือนใจมันสะเทือนกิเลสไง เพราะใจของเรามันความยึดมั่นของเรา มันมีกิเลสในหัวใจ สิ่งที่สะเทือนกิเลสขึ้นมา นี่สร้างคุณงามความดีอย่างนี้

มันถึงว่าถึงที่สุดแล้วเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคนเคารพนับถือมาก คนมีความต้องการอยากจะกราบไหว้อยากจะฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดธรรม เห็นไหม เพราะมีความไพเราะในเบื้องต้น ในท่ามกลาง และในที่สุด แล้วมันเข้าถึงไง มันสะเทือนใจมาก มันสะเทือนหัวใจนะ ถ้าคนเปิดใจ

ถ้าคนไม่เปิดใจ มันก็ไม่สะเทือนใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม สอนธรรมอยู่น่ะ ในสมัยพุทธกาลก็มี คนเขาจ้างมาว่ามาด่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมายเลย มันก็มีส่วนหนึ่ง คนเราไม่มีถึงว่าเชื่อไปหมดหรอก มันมีความเชื่อส่วนหนึ่ง เอาความเชื่อส่วนนั้น เห็นไหม กรรมดีพาเกิด ถ้าไม่เชื่อ ไม่มีความเห็น เขาก็อยู่ตามประสาของเขาไป เขาทำคุณงามความดีมันก็เป็นความดีในโลก ความดีในโลกมันทำให้เกิดกรรมดีเป็นที่พึ่งที่อาศัย มันทำให้เกิดไป

แต่รัตนตรัย เห็นไหม รัตนตรัย ธรรม สภาวธรรมเป็นความสงบของใจเข้ามา เราก็งงนะ เวลาคนภาวนาก็จะงงสิ่งนี้มากเลย แล้วเข้าใจว่าอันนี้มันเป็นสภาวะความเป็นจริง อันนี้เป็นนิพพาน สิ่งนี้เป็นนิพพานเพราะมันปล่อย มันว่าง..มันว่าง..มันว่างหมดเลย แล้วความว่างเห็นไหม พระพุทธเจ้าก็สอนเรื่องความว่าง แต่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องความว่าง ว่างในมรรคไง

ต้องมีการมรรคอริยสัจจัง มีการกระทำก่อน มีการแสวงหาก่อน สิ่งที่เราต้องเข้าใจทุกๆ อย่าง เราเข้าใจแล้วเราปล่อยสิ่งนั้นไว้ตามความเป็นจริง แต่ความว่างของสัมมาสมาธินี่ว่างกดไว้ เห็นไหม พุทโธๆๆ เรากดไว้ มันเป็นความว่างเหมือนกัน เพราะคนเข้าไปเจอคนจะติดตรงนี้ไง ติดความว่างอันนี้ แต่ไม่สามารถเข้าถึงความว่างในศาสนาได้ มันละเอียดขนาดนั้นน่ะ ถึงว่าเวลาเขาปล่อยวาง เขาพิจารณาเขาทำของเขา มันแน่นอน มันต้องปล่อยวางธรรมชาติของมัน เพราะเวลาเรามีความทุกข์ เห็นไหม เดี๋ยวความทุกข์มันก็จางไป เดี๋ยวเราก็มีความสุขเราก็มีความพอใจ มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สิ่งที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลามันมีในตัวมันเองอยู่แล้ว

พอมันเปลี่ยนแปลง เราควบคุมมันหน่อยมันก็หยุดได้ แต่หยุดแล้วเราไม่สามารถพลิกกลับไง ทวนกระแสไม่ได้ ถ้าพลิกกลับคือทวนกระแส เอาสิ่งนั้นเข้ามาดูใจของตัวเอง แล้วแยกแยะสิ่งนี้ ถ้าแยกแยะอันนี้ได้ อันนี้เป็นวิปัสสนา ถ้าวิปัสสนาจะเกิดมันถึงว่าเป็นงานอีกส่วนหนึ่ง ถ้าเป็นงานทำความสงบ งานทำความสงบของใจ ใจมันสงบ มันทำได้ศีล สมาธิ ปัญญา สภาวธรรมอันนี้มันเกิดขึ้นมา ถ้าเกิดขึ้นมา เราจะจับตรงสิ่งนี้ได้ มันถึงว่าเป็นสติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ ฐานของการงานไง ฐานของงาน งานของเรางานประกอบสัมมาอาชีวะนี่ ถ้ามันมีตลาดมีอะไร เราก็ทำได้ เราต้องสร้างตลาดสร้างทุกอย่างขึ้นมา

อันนี้ก็เหมือนกัน เราต้องสร้างขึ้นมา กาย เวทนา จิต ธรรม เราต้องเห็นขึ้นมา เห็นจากภายใน สิ่งที่เราเห็นกันเรารักษากันอยู่นี้มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ธรรมชาติของปุถุชนที่เราเกิดมาพบสภาวะของมนุษย์ แต่ธรรมชาติการเห็นกายของสติปัฏฐาน ๔ นั้นเป็นอริยสัจ เห็นไหม สัจจะความจริงเป็นสมมุติ สัจจะความจริง จริงแน่นอนเลย คนเราเกิดมาร่างกายเป็นเรา เราเกิดมาทุกอย่างต้องเป็นเรา ของเรานี้มันเป็นสมมุติสัจจะชั่วคราว สมมุติสัจจะนี้มีความชั่วคราว มันเป็นไป

แต่อริยสัจจะ ความเห็นจากภายในไม่มีมิติ เพราะจิตสงบไม่มีสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเอกัคคตารมณ์ สิ่งที่เป็นเอกัคคตารมณ์ยกขึ้นวิปัสสนา ถ้าวิปัสสนาย้อนกลับเข้ามา เห็นไหม กรรมที่เราสร้างสมขึ้นมามันก็พาเกิดพาตายไปเรื่อย กรรมอันนี้มันชำระล้างให้สิ่งที่ว่าสะอาดหมดจดแล้วจะไม่ไปไหนเลย จะอยู่คงที่ของมันตลอดไป กรรมดีเข้ามาถึงขนาดไหน กรรมดีสร้างสมเข้ามาจากภายนอก มันจะสร้างสมจากภายนอกเข้ามาจนเป็นความดีภายใน ถ้าเป็นความดีภายในขึ้นมานี่สร้างสมขึ้นมามันถึงเป็นมรรคไง ธรรมจักรเกิดๆ อย่างนี้

เวลาฟังธรรม เราฟังธรรมส่วนหนึ่ง ธรรมนี้มันเป็นว่าสุตมยปัญญา ฟังจากครูบาอาจารย์มา จินตมยปัญญาเราใคร่ครวญขึ้นมา แล้วมันจะเกิดภาวนามยปัญญา เห็นไหม นี่จักรของเราเกิด ถ้าจักรของเราไม่เกิด กิริยาของใจมันไม่มี สิ่งที่กิริยาของใจ เห็นไหม ใจแก้ใจ ใจเรานี้เป็นทุกข์อยู่ ถ้ากิริยาอันนี้มันเกิดขึ้นมานี่มันย้อนกลับเข้ามา ธรรมจักรมันย้อนกลับเข้าไป มันทำลายได้

ถ้าอย่างอื่นเห็นไหม เราเอามีดฟันไปบนอากาศเราจะไม่ได้อะไรเลย ถ้ามีดเราฟันไปบนสิ่งที่วัตถุที่เราต้องการฟัน เราจะฟันได้ ใจก็เหมือนกัน ถ้าเราคิดของเรา เราส่งออกไป มันคิดมันจินตนาการส่งออกไปนี่ มันเป็นความคิดออกไป มันเป็นความคิดออกไปมันไม่ใช่ย้อนกลับ เห็นไหม ถ้าย้อนกลับความคิดอันนั้น เหมือนกัน ความคิดอันหนึ่งเป็นกิเลสพาคิด สังขารอันหนึ่งกิเลสพาคิดไป สังขารอันหนึ่งถ้ามีสัมมาสมาธิมันจะย้อนกลับเข้ามา ย้อนกลับนะ ถ้าย้อนกลับเราย้อนกลับเป็น สังขารย้อนกลับเข้ามาเป็นมรรค มรรคนี้เป็นธรรมจักร นี่กิริยาของใจ สิ่งนี้มันจะเกิดขึ้นมาจากใจ ใจดวงไหนก็แล้วแต่ต้องใช้กิริยาของใจดวงนั้น ใช้มรรคของใจดวงนั้นแก้ใจดวงนั้น

มันถึงเป็นธรรมะส่วนบุคคล เป็นของส่วนบุคคล เกิดขึ้นมาจากส่วนบุคคล ไม่มีใครสามารถแก้ไขได้ ไม่มีความสามารถใครจะช่วยเหลือใครได้เลย ยกเว้นไว้แต่ครูบาอาจารย์ชี้นำ พระพุทธเจ้าชี้นำบอกทาง แล้วเราต้องทำเข้าไปจากภายใน สิ่งนี้ทำภายในย้อนกลับเข้ามา นี่ธรรมจักรมันเกิด แล้วเราถึงว่าธรรมเกิดจากใจ จากฟังธรรม เห็นไหม แสวงหาธรรมแล้วก็ฟังธรรม นี่แสวงหา พยายามทำบุญทำทานขึ้นมาเพื่อแสวงหาธรรม แล้วพยายามฝึกฝนขึ้นมา ถ้าฝึกฝนขึ้นมามันจะขึ้นมา มันถึงเป็นพยานกันไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอัญญาโกณฑัญญะรู้ นี่เป็นพยานต่อเนื่องกัน เป็นพยานกันว่าเป็น เห็นไหม พระโมคคัลลานะลงจากคิชฌกูฏเห็นเปรต เห็นผี พระพุทธเจ้าเคยเห็นมาแต่ไม่บอก พระโมคคัลลานะเห็นอยู่ แล้วยิ้ม พระถามว่ายิ้มเพราะอะไร เห็นเปรตลอยมากลางอากาศ แล้วก็บอกต้องไปพูดต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกท่านก็เห็นอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เมื่อก่อนท่านไม่พูดเพราะไม่มีพยาน แต่เดี๋ยวนี้มีพยานพระโมคคัลลานะก็เห็น เราก็เห็นอยู่ พระนั้นต้องเชื่อเห็นไหม นี่เป็นพยานต่อกัน

แต่ถ้าธรรมเกิดขึ้นมาจากใจนี่ เราเป็นปัจจัตตัง เราจะเป็นพยานกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เป็นพยานกับครูบาอาจารย์เลย ใจถึงธรรมเหมือนกัน จะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ซึ้งใจว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นมานี่ เรารู้ขึ้นมามันเป็นความมหัศจรรย์ มหัศจรรย์มากนะ ย้อนกลับๆ ตลอด ใจจะย้อนกลับเข้ามา สภาวธรรมมันอยู่ที่เรา ถึงว่าความสุขหาได้ที่เรา ความสุขหาได้ที่ใจนี้ ความสุขหาได้ด้วยการนั่งเฉยๆ เห็นไหม

ในการวิปัสสนา ในการทำสมาธิภาวนา ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย แต่ในการแสวงหาเราไปหาครูหาอาจารย์นั้น เพราะเราไม่เข้าใจของเรา เราถึงต้องแสวงหา นั้นเป็นการหาแผนที่ไง ถึงจะไปหาใครก็แล้วแต่ย้อนกลับมาแล้วต้องมาปฏิบัติที่เรา ย้อนกลับมาแล้ว เห็นไหม เวลาโลกธาตุหวั่นไหว วิปัสสนาไปโลกธาตุหวั่นไหว

นี่ก็เหมือนกันธาตุ ๔ เราจะหวั่นไหว จิตสงบขึ้นมามันจะหวั่นไหวจากภายใน โลกธาตุหวั่นไหวเพราะเรารู้สึกตื่นเต้นมาก ขนพองสยองเกล้าโลกธาตุหวั่นไหว สิ่งที่หวั่นไหวมันสะเทือนกิเลสไง มันแสดงนะ ธรรมเราบัญญัติขึ้นมา เราฟังครูบาอาจารย์ๆ แสดงธรรมให้เราฟัง เป็นธรรมของครูบาอาจารย์แล้วเรายืมมา แต่เวลามันสะเทือนในหัวใจ เห็นไหม โลกธาตุหวั่นไหว เราไหวในตัวเราเอง สภาวธรรมมันเกิดขึ้นมา เห็นไหม เกิดขึ้นจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นเข้าใจดวงนั้น สะเทือนเลื่อนลั่นกลางใจดวงนั้นเลย จะเป็นสมาธิมันก็ไหวในสมาธินั้น จะเป็นปัญญามันก็เป็นปัญญาของใจดวงนั้น มันจะแยกแยะออกไป มันจะตื่นเต้น มันจะแปลกประหลาดมีความมหัศจรรย์ของใจ มันทำได้อย่างไร ความละเอียดอ่อนนี้เป็นอย่างไร มันเข้าใจ แล้วเวลาพูด เห็นไหม

ผู้ที่มีการศึกษา เวลาปฏิบัติเข้าไปไม่กล้าพูดให้ใครฟังนะ เพราะมันเป็นจากภายใน ถ้าพูดไปแล้วมันเหมือนกับไสยศาสตร์ไง ไสยศาสตร์เห็นผีเห็นสาง เห็นต่างๆ แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมามันก็จะเห็นสิ่งสภาวะแบบนั้นเหมือนกัน แต่เห็นสภาวะนั้นเห็นกายไง ไม่ใช่เห็นผีเห็นสาง เห็นสภาวะกาย นี่เป็นอสุภะ มันสะเทือนหัวใจมาก สิ่งที่เห็นอย่างนั้นแล้วสะเทือนหัวใจ สะเทือนหัวใจมากนะ นี่ยิ่งถ้าเป็นคนใกล้ชิดแล้วสะเทือนเราๆ สะเทือนขึ้นมานี่สะเทือนกิเลสตลอดไป แล้วสิ่งนี้เราก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น มันสะเทือนเข้ามามันพิจารณาเข้ามามันก็เริ่มปล่อยวาง ปล่อยวาง เห็นไหม เห็นสภาวะนั้นมันเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายสิ่งนั้นๆ จนเป็นวิราคะ สิ่งนี้สลัดออกไปจากใจทั้งหมดเลย

ธรรมเกิดขึ้นจากในหัวใจ กรรมการกระทำ เห็นไหม กรรมพาเกิดๆ ในโลกวัฏฏะส่วนหนึ่ง เกิดในธรรมส่วนหนึ่ง จะเกิดในธรรมนะ ใจเราจะมีธรรมขึ้นมาจะเกิดขึ้นมา แล้วจะมีความสุข ความสุขหาได้ที่นี่ หมดภาระกันสักที ปลดเปลื้องสิ่งต่างๆ วางไว้ตามความเป็นจริง แล้วจะไม่แบกภาระสิ่งนี้ไปอีกเลย นี่เขาเป็นเขา เราเป็นเรา แยกออกจากกัน โลกนี้เป็นโลก ใจนี้เป็นใจ วัฏฏะเป็นวัฏฏะ ใจนี้เป็นส่วนหนึ่งไม่เกาะเกี่ยวกัน แต่อาศัยอยู่ด้วยกัน เห็นไหม อยู่ด้วยกัน จนถึงที่สุดแล้วปล่อยเปลื้องไปแล้วนี่ สอุปาทิเสสนิพพาน เห็นไหม ธาตุขันธ์มันยังอาศัยอยู่ในโลกนี้ พอทิ้งส่วนแล้วหมดสิ้น พ้นจากวัฏฏะ พ้นจากโลก พ้นจากสิ่งต่างๆ สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งนี้ไป เห็นไหม

เวลาหลวงปู่มั่นพิจารณา เวลาสงสัยขึ้นมาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมสื่อได้ เห็นไหม มันมีอยู่แต่ไม่เกี่ยวข้องกับวัฏฏะ ไม่เกี่ยวข้องกับภพนั้น มันมีอยู่แต่มันลอยอยู่เหนือสิ่งต่างๆ มันไม่เกาะเกี่ยวกับภพ นั้นคือใจที่มันสะอาด ใจที่มันฟังธรรม มันสร้างกรรมดีของมันขึ้นมา กรรมนี้ชำระล้างถึงที่สุด นั้นใจที่พ้นไป นั้นสภาวธรรม เอวัง